อนุมัติแล้วรถไฟฟ้าสายสีแดง 2 โครงการคาดได้ใช้ปี 2565


อนุมัติแล้วรถไฟฟ้าสายสีแดง 2 โครงการคาดได้ใช้ปี 2565

รายงานข่าวจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เปิดเผยว่า วันนี้ (26 ก.พ.) ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง 2 โครงการ ระยะทางรวมประมาณ 23.64 กิโลเมตร วงเงินรวมประมาณ 16,772.58 ล้านบาท ได้แก่


1. ระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต-ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ระยะทาง 8.84 กิโลเมตร วงเงินลงทุนประมาณ 6,570.40 ล้านบาท ซึ่งเบื้องต้นคาดการณ์ว่าจะมีปริมาณผู้โดยสาร 28,150 คน-เที่ยว/วัน และผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (EIRR) 24.61%



2. ระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา ระยะทาง 14.8 กิโลเมตร วงเงิน 10,202.18 ล้านบาท คาดการณ์ว่าจะมีปริมาณผู้โดยสาร 47,570 คน-เที่ยว/วัน และ EIRR ในสัดส่วน 34.75%

“การรถไฟฯ คาดว่าจะร่างทีโออาร์และกำหนดราคากลางเสร็จประมาณปลายเดือนพฤษภาคม จากนั้นน่าจะประกาศร่างทีโออาร์ได้ในเดือนมิถุนายนและรู้ผลผู้รับจ้างในเดือนกันยายน เริ่มก่อสร้างได้เร็วสุดในเดือนตุลาคมปีนี้และเปิดให้บริการภายในปี 2565” แหล่งข่าวกล่าว

อย่างไรก็ตาม การรถไฟฯ ยังเหลือโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช ระยะทาง 5.7 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 6,645.03 ล้านบาท ที่ต้องเสนอให้ ครม. อนุมัติอีก 1 โครงการ โดยสาเหตุที่ยังไม่ได้เสนอเข้า ครม. ในวันนี้ เนื่องจากมีการตัดงานปรับปรุงโรงซ่อมรถจักรสถานีธนบุรี วงเงินประมาณ 800 ล้านบาทออกไป ส่งผลให้ต้องจัดทำเอกสารเพิ่มเติม

แต่ล่าสุดการรถไฟฯ ได้จัดเตรียมเอกสารเรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะเสนอโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช ให้ ครม. พิจารณาอนุมัติได้เร็วสุดในการประชุมครั้งถัดไป ซึ่งเบื้องต้นคาดว่า รถไฟฟ้าสายสีแดงช่วงนี้จะมีปริมาณผู้โดยสารสูงสุดถึง 55,200 คน-เที่ยวต่อวันและ EIRR ในสัดส่วน 17.85%



เชื่อม ‘รถไฟฟ้าสายสีส้ม’ ที่สถานีศิริราช
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมจะเสนอโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช ระยะทาง 5.7 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 6,645.03 ล้านบาท ให้ที่ประชุม ครม. พิจารณาในสัปดาห์หน้า

หลังจากนั้น การรถไฟฯ จะจัดเตรียมร่างเงื่อนไขการประมูล (TOR) โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงทั้ง 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงรังสิต-ธรรมศาสตร์, ตลิ่งชัน-ศาลายา และตลิ่งชัน-ศิริราช ภายในมีนาคม-เมษายน ก่อนจะเปิดประมูลด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) หรือการจัดซื้อจัดจ้างผ่านออนไลน์ (e-Auction) ซึ่งก็คาดว่ารถไฟฟ้าสายสีแดงทั้ง 3 ช่วงจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในปี 2562 และเปิดให้บริการได้ทั้งหมดในปี 2565

“ที่โรงพยาบาลศิริราช รถไฟฟ้าสายสีแดงจะอยู่ใต้ดิน ข้างบนเป็นตัวอาคารโรงพยาบาลและสามารถขึ้นบันไดเลื่อนไปเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรีได้เลย นอกจากนี้สั่งให้พิจารณาก่อสร้างท่าเรือศิริราช ฝั่งริมคลองบางกอกน้อย เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนเดินทางด้วยเรือมาขึ้นรถไฟฟ้า” นายอาคมกล่าว


ชี้เปิดรถ ‘บางซื่อ-รังสิต’เร็วกว่าแผน
นายอาคม กล่าวถึงโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงช่วงอื่นๆ ว่า สำหรับโครงการก่อสร้างสถานีกลางบางซื่อ คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายนนี้ ส่วนการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน ปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและรถไฟฟ้า

ทั้งนี้ คาดว่ารถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน จะรับมอบขบวนรถได้ในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2563 จากนั้นจะทดลองการเดินรถเสมือนจริงประมาณเดือนสิงหาคม 2563 และจะเปิดให้บริการได้ในเดือนมกราคม 2564

โดยกระทรวงคมนาคมจะพยายามเร่งรัดการเปิดบริการให้เร็วกว่ากำหนด เหมือนกรณีรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-บางใหญ่ ซึ่งเปิดให้บริการได้เร็วกว่าแผน 5 เดือน พร้อมขอให้การรถไฟฯ เร่งพาบุคคลากรไปอบรมการเดินรถไฟฟ้าสายสีแดงให้เร็วขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน เนื่องจากเห็นว่าแผนเดิมล่าช้าเกินไป

รถไฟฟ้าสายสีแดง Missing Link ก่อสร้างปีนี้
นายอาคม กล่าวต่อว่า คณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟฯ จะทบทวนระยะเวลาการเริ่มต้นโครงการก่อสร้างระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง (Missing Link) สีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน-หัวหมาก และสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง ระยะทาง 25.9 กิโลเมตร วงเงิน 4.4 หมื่นล้าน เป็นปี 2562 จากนั้นจะรายงานให้ที่ประชุม ครม. รับทราบ โดยกระทรวงคมนาคมยังตั้งเป้าหมายจะก่อสร้างช่วง Missing Link ในปี 2562 และเปิดให้บริการในปี 2565

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.realist.co.th
http://www.bkkcitismart.com

รวมคอนโดใกล้รถไฟฟ้า ราคาสุดคุ้ม!


รวมคอนโดใกล้รถไฟฟ้า ราคาสุดคุ้ม!




โครงการ ดีคอนโด (รัตนาธิเบศร์) คุณภาพแบรนด์แสนสิริ ห้องสวยกว้างขวาง พร้อมเข้าอยู่ มีเฟอร์ฯบิ้วอินท์! สิ่งอำนวยความสะดวกครบ กับที่สุดแห่งทำเล ใจกลาง 2 เซ็นทรัลฯ เชื่อมสู่ถ.ราชพฤกษ์ , กาญจนาภิเษกได้อย่างรวดเร็ว 

- ขนาดห้อง 28.84 ตร.ม.
- ห่างจากรถไฟฟ้าสายสีม่วง "สถานีไทรม้า" เพียง 100 ม.
ราคา 1.29 ล้านบาท


โครงการ ซิตี้โฮม รัชดา-ปิ่นเกล้า (ใกล้สะพานพระราม7) แถมเฟอร์นิเจอร์ และแอร์ 1 เครื่อง บนทำเลเดินทางสะดวก หน้าโครงการติดกับ ถ.จรัญสนิทวงศ์ เยื้องกับโรงพยาบาลยันฮี ใกล้ มจพ.พระนครเหนือ และมทร.พระนคร มีรถประจำทางผ่านหลายสาย 

- ห้องขนาด 29.2 ตร.ม. 
- ห่างจากรถไฟฟ้าสายสีม่วง "สถานีวงศ์สว่าง" เพียง 3.5 กม.
ราคา 1.35 ล้านบาท


โครงการ เมโทรพาร์ค สาทร เฟส3 ทำเลย่านกัลปพฤกษ์ คุณภาพแบรนด์ Property Perfect ห้องกว้าง วิวสวย 1ห้องนอน 1ห้องน้ำ แถมแอร์ 1 เครื่อง บนทำเลเชื่อมสู่สาทรได้อย่างรวดเร็ว เข้า-ออกได้ทั้งกัลปพฤกษ์ และซ.กำนันแม้น 

- ขนาดห้อง 31.61 ตร.ม.
ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว "สถานีวุฒากาศ" เพียง 2 กม.
- ราคา 1.39 ล้านบาท


โครงการ ลุมพินีวิลล์ พระนั่งเกล้า ริเวอร์วิว ทำเลรัตนาธิเบศร์ ชั้น 7 วิวแม่น้ำเจ้าพระยา ฟังก์ชั่น 1ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พร้อมอยู่ แถมแอร์ 1 เครื่อง+เฟอร์นิเจอร์บิ้วท์อิน บนทำเลโซนเมือง ใกล้เซ็นทรัลเวสต์เกต ,เซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์ ,มทร.สุวรรณภูมิ และอื่นๆ อีกมากมาย

- ห้องขนาด 26.18 ตร.ม.
ห่างจากรถไฟฟ้า "สถานีไทรม้า" เพียง 600 ม.
ราคา 1.69 ล้านบาท


โครงการ ลุมพินีวิลล์ พระนั่งเกล้า ริเวอร์วิลล์ คอนโดชั้น 7 วิวแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้เซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์ และสะพานพระนั่งเกล้า ฟังก์ชั่น 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน บนทำเลศักยภาพ เพียง 100 เมตรถึง ถ.รัตนาธิเบศร์ หรือจะเดินชิลล์ๆ ขึ้นรถไฟฟ้าได้เลย

- ห้องขนาด 35 ตร.ม. 
ห่างจากรถไฟฟ้า "สถานีไทรม้า" เพียง 600 ม.
ราคา 1.99 ล้านบาท
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิ๊ก! 


โครงการ บี รีพับบลิค สุขุมวิท101/1 วิวสวยชั้น4 ห้องกว้างสไตล์ Modern ฟังก์ชั่น 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ แถมแอร์ 2 เครื่อง พร้อมเฟอร์นิเจอร์บิ้วท์อินท์ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน! ตอบโจทย์ Life Style คนรุ่นใหม่ได้อย่างดีเยี่ยม บนทำเลใกล้ Bitec บางนา ราคาสุดคุ้ม!

- ห้องขนาด 51.84 ตร.ม.
ใกล้ BTS "สถานีปุณณวิถี" เพียง 2 กม.
ราคา 2.99 ล้านบาท


เตรียมเปิดทดลองวิ่งรถไฟฟ้าใต้ดิน หัวลำโพง-หลักสอง เม.ย. 62 นี้


เตรียมเปิดทดลองวิ่งรถไฟฟ้าใต้ดิน หัวลำโพง-หลักสอง เม.ย. 62 นี้

นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เผยว่า เดือน เม.ย. นี้ จะเปิดทดสอบเดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยายจากสถานีหัวลำโพงถึงหลักสอง รวม 11 สถานี ซึ่งขณะนี้งานโยธาเสร็จแล้ว 100%



ส่วนการติดตั้งระบบรถไฟฟ้าคืบหน้าแล้ว 71% ขณะที่ขบวนรถไฟฟ้าที่จะมาวิ่งให้บริการ บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ หรือ BEM แจ้งว่า จะมาถึงในช่วงเดือน มี.ค. นี้ จำนวน 3 ขบวน ก่อนจะทยอยรับจนครบ 35 ขบวนในปี 2563


สำหรับ ส่วนต่อขยายหัวลำโพงถึงหลักสอง มีระยะทาง 14 กิโลเมตร โดยเส้นทางเริ่มจากสถานีหัวลำโพง เป็นเส้นทางใต้ดินตามแนวถนนพระรามที่ 4 เข้าสู่ถนนเจริญกรุง ผ่านวัดมังกรกมลาวาส ผ่านวังบูรพา เลี้ยวซ้ายเข้าถนนสนามไชย ซึ่งเป็นสถานีที่สวยที่สุด แล้วลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยา ที่ปากคลองตลาดลอดใต้คลองบางกอกใหญ่


เข้าสู่ถนนอิสรภาพแล้วเปลี่ยนเป็นโครงสร้างทางวิ่งยกระดับบนเกาะกลางถนนเข้าสู่สี่แยกท่าพระ ซึ่งจะมีสถานีร่วมกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ- ท่าพระ แล้ววิ่งไปตามถนนเพชรเกษม ผ่านบางไผ่ บางหว้า ภาษีเจริญ บางแค สิ้นสุดที่วงแหวนรอบนอกถนนกาญจนาภิเษก


อย่างไรก็ตาม จะเปิดให้ประชาชนทดลองนั่งฟรี ในเดือน เม.ย. 62 นี้ เร็วกว่าแผนเดิมที่วางไว้ ก่อนจะเปิดให้บริการจริงในเดือน ก.ย. ส่วนช่วงเตาปูนถึงท่าพระ จะเปิดให้บริการได้ในเดือน มี.ค. 2563


ส่วนของ 11 สถานี โดยแยกออกเป็น 2 ส่วนได้แก่
4 สถานีโครงสร้างใต้ดิน ตกแต่งพิเศษได้แก่
1. BS 10 วันมังกรฯ
2. BS 11 วังบูรพา/สามยอด
3. BS 12 สนามไชย
4. BS 13 อิสรภาพ

7 สถานีโครงสร้างทางวิ่งยกระดับ ได้แก่
1. BS 14 ท่าพระ
2. BS 15 บางไผ่
3. BS 16 บางหว้า
4. BS 17 เพชรเกษม 48
5. BS 18 ภาษีเจริญ
6. BS 19 บางแค
7. BS 20 หลักสอง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.realist.co.th
https://news.mthai.com/

ธอส. เปิด 4 แพ็คเกจโครงการสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำ


ธอส. เตรียมวงเงิน 16,500 ล้านบาท จัดทำแพ็คเกจสินเชื่อรองรับความต้องการของประชาชนทุกกลุ่มที่ต้องการมีบ้าน


นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการสร้างโอกาสให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการสร้างความมั่นคงในชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม พร้อมกับขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เกิดการขยายตัวผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์


ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” จึงได้จัดทำผลิตภัณฑ์สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่มีความหลากหลาย ครอบคลุมทุกวัตถุประสงค์การกู้ และสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าภายใต้กรอบวงเงินกว่า 16,500 ล้านบาท ประกอบด้วย


1. สินเชื่อ New Home Hi-speed 
(กรอบวงเงิน 10,000 ล้านบาท) อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-3 เท่ากับ MRR-3.96% ต่อปี (2.79%) ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้กรณีสวัสดิการ อัตราดอกเบี้ย MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อย เท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี กรณีกู้ซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย


ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. เท่ากับ 6.75% ต่อปี) ให้กู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยที่มีราคา จะซื้อจะขายมากกว่า 1 ล้านบาท และเป็นที่อยู่อาศัยใหม่ที่ยังไม่เคยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์มาก่อน ยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินทำนิติกรรม ผ่อนได้นานสูงสุด 40 ปี กำหนดยื่นคำขอกู้และทำนิติกรรมภายในวันที่ 29 มีนาคม 2562


2. สินเชื่อบ้านโครงการจัดสรร (Developer) 
ไตรมาส 1 ปี 2562 (กรอบวงเงิน 5,000 ล้านบาท) อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เท่ากับ MRR-4.25% ต่อปี (2.50%) ปีที่ 2 เท่ากับ MRR-3.25% ต่อปี (3.50%) ปีที่ 3 เท่ากับ MRR-2.25% ต่อปี (4.50%) ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ กรณีสวัสดิการ อัตราดอกเบี้ย MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อย เท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี และกรณีกู้ซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย 

ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR สำหรับผู้ที่ซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการจัดสรรที่ธนาคารรับเป็นโครงการ Fast Track / Smart Fast Track / Regional Fast Track และ LTF ที่ดำเนินโครงการโดยผู้ประกอบการจัดสรร (Developer) ที่มีข้อตกลงร่วมกับธนาคาร ผ่อนได้นานสูงสุด 40 ปี กำหนดยื่นคำขอกู้และทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 เมษายน 2562


3. โครงการสินเชื่อบ้านเพิ่มสุข 
ไตรมาสที่ 1 ปี 2562 (กรอบวงเงิน 1,000 ล้านบาท) อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 – 3 เท่ากับ MRR-2.85% ต่อปี (3.90%) ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ 

ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR ต่อปี สำหรับลูกค้าปัจจุบันของธนาคารที่มีประวัติการผ่อนชำระหนี้ย้อนหลัง 12 เดือน ปกติและสม่ำเสมอทุกเดือน และมียอดเงินต้นที่ชำระคืนให้ธนาคารแล้วทุกบัญชีรวมกันไม่น้อยกว่า 50,000 บาท สามารถกู้เพื่อซื้ออุปกรณ์หรือ สิ่งอำนวยความสะดวกฯ ผ่อนได้นานสูงสุด 40 ปี กำหนดยื่นคำขอกู้และทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 เมษายน 2562


4. โครงการสร้างบ้านสร้างอาชีพ 
สำหรับลูกค้าของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) แบ่งเป็น

4.1 สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 
(กรอบวงเงิน 250 ล้านบาท) อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-3 เท่ากับ MRR-3.60% ต่อปี(3.15%) ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ กรณีสวัสดิการ อัตราดอกเบี้ย MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อย เท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี 
และกรณีกู้ซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกฯ อัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจำนอง ซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกฯ พร้อมกับเพื่อซื้อหรือไถ่ถอนจำนอง และซื้อทรัพย์ NPA ของธนาคาร ยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินทำนิติกรรม และค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของวงเงินกู้ตามสัญญากู้เงิน ผ่อนได้นานสูงสุด 40 ปี

4.2 สินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ อพาร์ทเม้นท์ให้เช่า
(กรอบวงเงิน 250 ล้านบาท) กรณีปลูกสร้าง อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เท่ากับ MLR – 2.25% ต่อปี(4.00%) ปีที่ 2-5 ดอกเบี้ยเท่ากับ MLR – ไม่เกิน 1.25% ต่อปี ปีที่ 6 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ดอกเบี้ยเท่ากับ MLR – 0.25% ต่อปี (6.00%) (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MLR ธอส. เท่ากับ 6.25% ต่อปี) และกรณีไถ่ถอนจำนอง อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-2 เท่ากับ MLR – 2.25% ต่อปี (4.00%) ปีที่ 3-5 ดอกเบี้ยเท่ากับ MLR – ไม่เกิน 1.25% ต่อปี ปีที่ 6 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ดอกเบี้ยเท่ากับ MLR-0.25% ต่อปี ยกเว้นค่าประเมินราคาหลักทรัพย์ และค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ ผ่อนได้นานสูงสุด 15 ปี ยื่นคำขอกู้ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2562 และทำนิติกรรมภายในวันที่ 31 มีนาคม 2563

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์

ขอบคุณข้อมูลจาก
www.mthai.com

เจ้าบ้าน กับ เจ้าของบ้าน สิทธิและหน้าที่แตกต่างกันอย่างไร


     หลายท่านคงสงสัย? ว่าเจ้าบ้านคือใคร!! หรือบางท่านอาจจะคิดไปถึงผีบ้านผีเรือน แต่ที่จริงแล้วตามหลักกฎหมาย ว่าด้วยเรื่องการดูแลบ้าน บ้านทุกหลังต้องมีเจ้าบ้าน เพื่อระบุว่าบุคคลที่เป็นเจ้าบ้านนั้น ผู้เป็นหัวหน้าซึ่งครอบครองบ้านในฐานะเป็นเจ้าของ ผู้เช่า หรือในฐานะอื่น เช่น ผู้ดูแลบ้าน แล้วแตกต่างยังไงกับเจ้าของบ้านละ วันนี้บ้านบางกอกจะมาไขข้อสงสัยนี้ ถ้าพร้อมแล้วไปอ่านต่อกันได้เลย


     เจ้าของบ้าน คือ ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่มีชื่อใน โฉนดที่ดิน อันเป็นหลักฐานในการทำสัญญาซื้อขาย กล่าวคือ เป็นผู้ที่มีสิทธิ์ที่จะ จำหน่าย จ่ายโอน ในที่ดินและบ้านหลังนั้น ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อีกทั้งยังมีอำนาจที่จะแต่งตั้งใครก็ตามมาเป็นเจ้าบ้านหลังนั้น เพื่อให้เป็นผู้มีหน้าที่ดูแลภายในบ้านได้อีกด้วย


     เจ้าบ้าน คือ คนที่มีหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวในบ้านหลังนั้น ซึ่งครอบครองนี้อาจเป็นเจ้าของบ้าน ผู้เช่า หรือในฐานะอื่นๆก็ได้ และหน้าที่ของผู้เป็นเจ้าบ้านในบ้านหลังนั้น ตามกฎหมายทะเบียนราษฎร์ ได้กำหนดให้ผู้เป็นเจ้าบ้าน มีหน้าที่ต้องแจ้งต่อนายทะเบียนดังต่อไปนี้
- มีคนเกิดในบ้าน
- มีคนตายในบ้าน
- มีคนย้ายออก – ย้ายเข้ามาบ้านหลังนั้น
- มีสิ่งปลูกสร้างบ้านใหม่ หรือรื้อถอน
- ขอเลขที่บ้าน
- เมื่อมีการรื้อถอนบ้าน


     โดยที่เกือบทุกกิจกรรมจะต้องทำการแจ้งต่อเจ้าหน้าที่นายทะเบียน ภายในระยะเวลา 15 วันหลังจากที่มีการกระทำการทำอันใดไปแล้ว ยกเว้นเสียแต่หากมีคนเสียชีวิต จะต้องแจ้งต่อนายทะเบียนภายในระยะเวลา 24 ชม. หากไม่แจ้งถือว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร์พ.ศ. 2534 และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 โทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท


     จะเห็นได้ว่าเจ้าบ้านมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการเหตุการต่างๆที่เกิดขึ้นในบ้านหลังที่ตนเป็นเจ้าบ้านเกือบทั้งหมด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เจ้าบ้านก็จะไม่เกี่ยวข้องกับกรรมสิทธิ์ในการทำธุรกรรมซื้อขายใดๆทั้งสิ้น นอกเสียจากเจ้าบ้านจะเป็นคนเดียวกันกับเจ้าของบ้านผู้มีชื่ออยู่ในหนังสือกรรมสิทธิ์ หรือโฉนดที่ดินนั้น


     ทำไมเป็นเจ้าของบ้านหลายหลังได้ แต่เป็นเจ้าบ้านเองทุกหลังไม่ได้
กรณีที่ผู้เป็นเจ้าของบ้าน ที่มีบ้านมากกว่า 1 หลัง แต่ไม่สามารถเป็นเจ้าบ้านเองได้ทุกหลังนั้นเพราะในทะเบียนราษฎร์ ได้กำหนดไว้แล้วว่า 1 บุคคลสามารถมีภูมิลำเนาได้เพียงภูมิลำเนาเดียวเท่านั้น จึงเป็นเหตุให้ผู้เป็นเจ้าของบ้าน สามารถมีชื่อเป็นเจ้าของบ้านได้เพียงที่เดียว ส่วนบ้านที่เหลือ ผู้เป็นเจ้าของบ้านจะต้องทำการแต่งตั้งเจ้าบ้านขึ้นมาเพื่อให้มีหน้าที่ดูแลการย้ายเข้าย้ายออกของผู้อยู่อาศัยภายในบ้านนั้นๆ

     เชื่อว่าหลายท่านคงเข้าใจและเห็นความสำคัญ กับคำว่า "เจ้าบ้าน" กันมาขึ้นแล้ว วันนี้บ้านบางกอกขอลาไปก่อน ขอบคุณที่ติดตามบทความของเรา ครั้งหน้าจะมีบทความเรื่องอะไรนั้น โปรดติตตามกันได้ที่ https://www.bangkokassets.com แล้วพบกันในบทความหน้า...สวัสดีครับ

ขอบคุณบทความจาก
www.dotproperty.co.th

สรุปภาษีที่ดินใหม่ เริ่มใช้จริง ปี 2563

สรุปภาษีที่ดินใหม่ เริ่มใช้จริง ปี 2563


สรุปภาษีที่ดินใหม่ เริ่มใช้จริง ปี 2563

กฎหมายภาษีที่ดิน คือแบบภาษีใหม่ที่จะมาแทนกฎหมายภาษีโรงเรือนและที่ดิน เนื่องจากภาษีโรงเรือนและที่ดินนั้นไม่ค่อยเหมาะสมกับยุคสมัยนี้ เพราะมีอายุยาวนานและไม่เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนไป  รวมถึงภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแบบใหม่นี้ ก็มีส่วนช่วยลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มความเป็นธรรมอีกด้วย


ภาษีที่ดินแบบใหม่นั้น แบ่งประเภทที่ดินที่ต้องเสียภาษีไว้ 4 รายการ ดังนี้


1. ที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม โดยอัตราเพดานสูงสุดอยู่ที่ 0.15 % และจะแบ่งอัตราจัดเก็บเป็นมูลค่าล้านบาทเริ่มตั้งแต่
0 - 75 ล้านบาท อัตราจัดเก็บ 0.01%
75 - 100 ล้านบาท อัตราจัดเก็บ 0.03%
100 - 500 ล้านบาท อัตราจัดเก็บ 0.05%
500 - 1,000 ล้านบาท อัตราจัดเก็บ 0.07%
1000 - 5,000 ล้านบาทขึ้นไป อัตราจัดเก็บ 0.10%
*หมายเหตุ* บุคคลธรรมดาจะได้ยกเว้นภาษีในช่วง 50 ล้านบาทแรก


2. ที่ดินเพื่ออยู่อาศัย โดยอัตราเพดานสูงสุดอยู่ที่ 0.3 % และจะแบ่งอัตราจัดเก็บเป็นมูลค่าล้านบาทเริ่มตั้งแต่
0 - 50 ล้านบาท อัตราจัดเก็บ 0.02%
50 - 75 ล้านบาท อัตราจัดเก็บ 0.03%
75 - 100 ล้านบาท อัตราจัดเก็บ 0.05%
100 - 5,000 ล้านบาทขึ้นไป อัตราจัดเก็บ 0.10%
*หมายเหตุ* บ้านหลังแรกยกเว้น 50 ล้านบาทแรก


3. ที่ดินเพื่อพาณิชยกรรม โดยอัตราเพดานสูงสุดอยู่ที่ 1.2 % และจะแบ่งอัตราจัดเก็บเป็นมูลค่าล้านบาทเริ่มตั้งแต่
0 - 50 ล้านบาท อัตราจัดเก็บ 0.30%
50 - 200 ล้านบาท อัตราจัดเก็บ 0.40%
200 - 1,000 ล้านบาท อัตราจัดเก็บ 0.50%
1,000 - 5,000 ล้านบาท อัตราจัดเก็บ 0.60%
5,000 ล้านบาท ขึ้นไป อัตราจัดเก็บ 0.70%
*หมายเหตุ* บ้านหลังแรกยกเว้น 50 ล้านบาทแรก


4. ที่ดินรกร้างว่างเปล่า โดยอัตราเพดานสูงสุดอยู่ที่ 3.0 % และจะแบ่งอัตราจัดเก็บเป็นมูลค่าล้านบาท เริ่มตั้งแต่ 0.3% ในงบตั้งแต่ 0 - 5,000 ล้านบาท ขึ้นไป
*หมายเหตุ*หากไม่มีการนำมาใช้ประโยชน์อัตราภาษีเพิ่ม 0.3% ทุกๆ 3 ปี แต่รวมไม่เกิน 3 %


กฎหมายภาษีที่ดินนี้จะกระทบอะไรบ้าง ?


- มีผลกระทบกับคนที่มีบ้านหลายหลัง
เนื่องจากบ้านและที่ดินนั้นมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง คงไม่แปลกถ้าหากเรามีเงินแล้วเราจะเก็บความมั่งคั่งของเราไว้ในรูปแบบบ้านและที่ดิน แต่ถ้าเรามีบ้านและที่ดินเยอะควรทำอย่างไร?
-โอนบ้านเป็นชื่อทายาทหรือลูกหลาน
  หากเราอยากมอบเป็นมรดกให้ลูกของเราอยู่แล้ว การโอนบ้านเป็นชื่อลูกนั้น จะได้รับสิทธิบ้านหลังแรก ซึ่งยกเว้นภาษี 50 ล้าน
- ย้ายชื่อไปอยู่บ้านที่แพงที่สุด
  บ้านหลังแรกหรือบ้านที่เราอยู่จะยกเว้นภาษี 50 ล้าน ดังนั้นการที่เราเลือกให้ชื่อที่เราอยู่ในบ้านหลังที่แพงที่สุดก็จะช่วยประหยัดภาษีได้ไม่น้อยเลยทีเดียว


- มีผลกระทบกับคนมีที่ดินเปล่า
เนื่องจากรัฐสนับสนุนให้เพิ่มมูลค่าให้กับที่ดินไม่ปล่อยให้รกร้าง จึงเก็บภาษีที่ดินเปล่าด้วย ซึ่งหากยังปล่อยรกร้างต่อก็จะโดนอัตราภาษีที่สูงขึ้น ดังนั้นเราจึงควรสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับที่ดินที่เรามี ไม่ว่าจะเป็น
- แบ่งแปลงที่ดินให้เล็กลง
  เพราะภาษีนั้นคิดเป็นแบบขั้นบันได ยิ่งแปลนที่ดินใหญ่ก็จะยิ่งเสียภาษีเยอะ ดังนั้นการที่เราแบ่งแปลนที่ดินเป็นหลายๆแปลงจะทำให้ราคาประเมินถูกลง ก็จะเสียภาษีน้อยลง
- แปลงที่ดินรกร้างเป็นที่ดินเกษตรกรรม
  การแปลงที่ดินเปล่าเป็นพื้นที่เกษตรกรรม นอกจากจะทำให้เสียภาษีน้อยลงแล้ว ยังเป็นการสร้างรายได้อีกทางด้วย แต่ที่ดินบางที่ก็อาจจะไม่เหมาะแก่การทำเกษตรกรรม เช่น ภูมิประเทศ พื้นที่ในเมือง 
- สร้างบ้านในที่ดินที่มี
  ถ้าเรามีที่ดินแปลงใหญ่ซึ่งอาจจะเสียภาษีในฐานที่สูง อาจจะเลือกที่จะสร้างบ้านไว้ในที่ดินนั้น ก็จะทำให้เสียภาษีน้อยลงมาได้เพราะกลายเป็นที่ดินเพื่ออยู่อาศัยทันที


ถือว่าเป็นกฏหมายภาษีที่มีผลต่อการปรับเปลี่ยนตลาดที่ดินและอสังหาฯเป็นอย่างมาก เพราะนอกจะเก็บภาษีเพื่อให้รัฐได้มีเงินไปพัฒนาประเทศต่อแล้ว ยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดินรกร้างที่ถูกปล่อยทิ้งไว้มานาน ให้เกิดการสร้างประโยชน์การแข่งขัน และช่วยเพิ่มการจ้างงานทางอ้อมไปอีกด้วย และยังเป็นส่วนช่วยให้ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจน

แต่อย่างไรก็ตาม บ้านบางกอกขอแนะนำให้ไปศึกษาและนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเราด้วย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและตัวเรานะครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก
www.moneybuffalo.in.th


ขายของออนไลน์ก็สามารถกู้บ้านได้...จริงหรือ?

ขายของออนไลน์ก็สามารถกู้บ้านได้...จริงหรือ?



สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่ต้องการซื้อบ้าน วันนี้บ้านบางกอกจะมาบอกวิธีที่จะทำให้ท่านสามารถกู้บ้านได้อย่างสบายๆ แต่ต้องขอบอกไว้ก่อนว่าอาชีพนี้ก็จะเปรียบเสมือนเราเป็นเจ้าของธุรกิจ ที่มีช่องทางการขาย หรือ หน้าร้านของเราบนโลกออนไลน์ แต่ธนาคารจะรู้ได้อย่างไร ว่ารายได้ของเรานั้นเกิดขึ้นจริง เพราะฉะนั้นเอกสารที่สำคัญในการยื่นขอสินเชื่อบ้านก็จะเป็นเอกสารเพื่อ “พิสูจน์ที่มาของรายได้” ของเรานั่นเอง จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย



1.สเตทเม้นท์
แน่นอนสำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ วิธีสั่งซื้อสินค้าและการชำระเงินของลูกค้าจะต้องโอนเงินผ่านเข้าบัญชีของเราอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เวลายื่นเอกสารขอสินเชื่อ แนะนำให้แสดงทุกบัญชีที่มีเงินเข้าออก ของเราทุกบัญชี ที่มีรายได้มาจากการค้าขาย ย้อนหลังไปอย่างน้อย 2 ปี เพื่อให้ธนาคารเห็นถึงความสม่ำเสมอในการมีเงินโอนเข้าบัญชีของเราในแต่ละเดือน


2.อายุงาน/ระยะเวลาการประกอบธุรกิจ
ถึงแม้จะมีอาชีพเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ทางธนาคารเองก็พิจารณาในเรื่องของระยะเวลาการประกอบธุรกิจของเราด้วย เพื่อดูในเรื่องของความมั่นคงของอาชีพ ซึ่งโดยทั่วไปจะต้องประกอบอาชีพนี้มาอย่างน้อย 2 ปีขึ้นไปนะครับ



3.จดทะเบียนการค้า
พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ สามารถจดทะเบียนการค้าได้ครับ และเป็นอีกหนึ่งเอกสารที่ธนาคารให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก สำหรับท่านที่มีคำถามว่า ขายของออนไลน์จะจดทะเบียนการค้าได้อย่างไร ขอตอบว่า ได้ครับ โดยใช้ที่อยู่ ที่เราอยู่อาศัยในการจดทะเบียนการค้า และหน้าร้านที่เราใช้ค้าขายก็คือช่องทางออนไลน์ที่เราทำให้เกิดรายได้ขึ้นมา ข้อนี้ทำได้แน่นอน และไม่ยากเลยครับ


4.บัญชีรายรับ รายจ่าย
จริงอยู่ว่าสเตทเมนท์ก็อาจจะเป็นเอกสารที่สามารถแสดงรายรับของเราได้อย่างเพียงพอ แต่ในฐานะของการประกอบธุรกิจ ซื้อมาขายไป ทางธนาคารย่อมอยากเห็น รายรับ รายจ่าย ต้นทุนและกำไร ของธุรกิจ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาในการให้สินเชื่อ



5.ยื่นภาษี
การยื่นภาษี เป็นการพิสูจน์ว่า รายรับ รายจ่าย ของเราทั้งหมดที่ได้จากการทำธุรกิจค้าขายบนโลกออนไลน์ของเรานั้น เกิดขึ้นจริง โดยมีสรรพากรตรวจสอบรายได้ และเราได้เสียภาษีอย่างถูกต้องครับ


6.ภาพถ่ายหน้าร้าน/ออเดอร์/Inbox
เราสามารถแนบภาพหน้า Facebook ภาพการสั่งสินค้า และภาพ Inbox ต่างๆที่ลูกค้าเข้ามาพูดคุยเพื่อสั่งซื้อสินค้าของเราประกอบไปในเอกสารที่ใช้ยื่นขอสินเชื่อ เพื่อให้เห็นว่าเรามีหน้าร้านผ่านโลกออนไลน์ของเราจริงๆ


เป็นอย่างไรบ้างครับ ไม่อยากจนเกินไปใช่ไหมครับ ทั้งหมดทั้งมวลที่ธนาคารอยากได้ก็คือการบริหารความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ เพราะฉะนั้นหากเราสามารถพิสูจน์ได้ว่าเรามีความสามารถในการที่จะผ่อนชำระต่อสินเชื่อที่เราขอมาได้ ธนาคารก็ย่อมปล่อยสินเชื่อให้อย่างแน่นอนครับแต่หากไม่อยากยุ่งยากเรื่องเอกสารหรือเบื่อที่ต้องเดินเรื่องสินเชื่อกับธนาคาร แนะนำให้เลือกซื้อบ้านที่บ้านบางกอกฯ เรามีบ้านในทำเลคุณภาพ เชื่อมต่อทุกการเดินทาง พร้อมทั้งเดินเรื่องกู้ซื้อบ้านให้ท่าน โดยที่ท่านไม่ต้องเหนื่อย สนใจดูบ้านกับเรา หรือ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่  Line: @bangkokassets (มี@ด้วยนะครับ) Instagram: https://goo.gl/REzvav  หรือโทรมาที่เบอร์ 095-264-4465 เบอร์ Office : 02-494-9187